ครอบครัวยากจนแทบอดตายแต่สามีก็วุ่นวายหาลูกมาเพิ่ม

สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม - ตอนที่ 7 เจ้ามันก็แค่ฮูหยินตกอับ โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

จีน,รัก,ชาย-หญิง,เกิดใหม่,ครอบครัว,นิยายรักจีนโบราณ,ครอบครัว,เกิดใหม่,plotteller, ploteller, plotteler,พล็อตเทลเลอร์, แอพแพนด้าแดง, แพนด้าแดง, พล็อตเทลเลอร์, รี้ดอะไร้ต์,รีดอะไรท์,รี้ดอะไรท์,รี้ดอะไร, tunwalai , ธัญวลัย, dek-d, เด็กดี, นิยายเด็กดี ,นิยายออนไลน์,อ่านนิยาย,นิยาย,อ่านนิยายออนไลน์,นักเขียน,นักอ่าน,งานเขียน,บทความ,เรื่องสั้น,ฟิค,แต่งฟิค,แต่งนิยาย

สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม

หมวดหมู่ที่เกี่ยวข้อง

จีน,รัก,ชาย-หญิง,เกิดใหม่,ครอบครัว

แท็คที่เกี่ยวข้อง

นิยายรักจีนโบราณ,ครอบครัว,เกิดใหม่

รายละเอียด

สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม โดย มู่จิ่น 木槿 @Plotteller | พล็อตเทลเลอร์

ครอบครัวยากจนแทบอดตายแต่สามีก็วุ่นวายหาลูกมาเพิ่ม

ผู้แต่ง

มู่จิ่น 木槿

เรื่องย่อ

หากใครคิดว่าการตายไปคือการได้พ้นทุกข์พิมพ์ลดาขอเรียนให้ทราบว่าทนใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเถิดเพราะชีวิตหลังความตายที่ได้พบเจออาจจะบัดซบยิ่งกว่าเก่าดูจากชีวิตของเธอเป็นตัวอย่างจากแต่เดิมที่เป็นคนหาเช้ากินค่ำธรรมดาๆ แต่ชีวิตก็มามีอันถึงคราวซวยต้องมารับใช้หนี้นอกระบบที่พี่สาวแท้ๆ เป็นคนก่อแล้วหนีหายเข้ากลีบเมฆไปไม่กลับมา เจ้าหนี้ก็ตามมาทวงอยู่ได้ทุกวันหาเงินมาจ่ายดอกวันละสองพันก็ยังไม่พอทำให้เธอตัดสินใจโดดน้ำตายให้มันจบๆ ไป ลากันทีชีวิตบัดซบซ้ำซาก

แต่ใครมันจะรู้ว่าจะมีชีวิตในโลกหน้าที่รออยู่จากผู้หญิงธรรมดาอายุยี่สิบปลายๆ กลับต้องมามีชีวิตใหม่สวมวิญญาณเข้าร่างเป็นมารดาของบุตรสี่คนและสามีอีกหนึ่งแต่เรื่องที่มันน่าตกใจไปมากกว่านั้นคือกุ้ยอิงฮวาคนนี้เคยมีสามีมาแล้วก่อนหน้านี้ถึงสองคนสามีแรกแก่ง่ายตายเร็วมาก สามีสองยังไม่แก่แต่ก็ชิงตายไปทิ้งมรดกไว้ให้เป็นลูกๆ ที่แสนรู้ความถึงสองคนส่วนสามีคนที่สามนั้นนางจัดการรวบตึงเอาไว้เพราะอยากให้ในครอบครัวมีผู้ชายช่วยปกป้องดูแลแต่อยู่มาไม่ทันไรเขาก็สร้างเรื่องไปอุ้มเด็กกลับมาบ้านให้นางเลี้ยงอีกแล้วหรืองานนี้ก็ต้องลุกขึ้นมาปฏิวัติครอบครัวให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น

 

หมายเหตุ

นิยายเรื่องนี้ไม่อิงประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะ สถานที่ เหตุการณ์ หรือตัวบุคคลในเรื่องล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้เขียนทั้งสิ้นค่ะ

 

คำเตือน

              นิยายเรื่องนี้มีเนื้อหาเกี่ยวกับการฆ่าตัวตายอาจทำให้คุณนักอ่านไม่สบายใจนะคะ

 

กติกาการลงนิยาย

ลงเนื้อหาให้อ่านฟรีทั้งหมด 10 ตอนหลังจากนั้นจะติดเหรียญล่วงหน้า รายละเอียดดังนี้

1.       ติดเหรียญล่วงหน้า 1 สัปดาห์

2.       ปลดเหรียญอ่านฟรี 1สัปดาห์

3.       หลังจากนั้นจะติดเหรียญถาวรราคาเต็มไปจนถึงตอนจบค่ะ

สารบัญ

สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม-ตอนที่ 1 ตายแล้วเกิดใหม่,สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม-ตอนที่ 2 รับบทคุณแม่ลูกสี่,สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม-ตอนที่ 3 วิถีชาวบ้าน,สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม-ตอนที่ 4 หาลู่ทางทำอาชีพเสริม,สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม-ตอนที่ 5 ชีวิตแม่ค้า,สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม-ตอนที่ 6 ซื้อง่ายขายคล่อง,สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม-ตอนที่ 7 เจ้ามันก็แค่ฮูหยินตกอับ,สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม-ตอนที่ 8 ระราน,สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม-ตอนที่ 9 ของกินเล่น,สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม-ตอนที่ 10 ทาบทาม,สตรีผู้นี้มีลูกสี่สามีสาม-ตอนที่ 11 ลักพาตัว ปลดเหรียญอ่านฟรี 25 เมษายน 68 ติดเหรียญถาวร 2 พฤษภาคม 68

เนื้อหา

ตอนที่ 7 เจ้ามันก็แค่ฮูหยินตกอับ

กิจการขายข้าวแกงของกุ้ยอิงฮวาดำเนินไปอย่างราบรื่นแม้ว่าจะไม่ได้ขายดีมากแต่ก็ขายหมุดทุกวันภายในเวลาไม่เกินหนึ่งชั่วยามกับอีกสองเค่อแต่พอรวมกับเวลาที่เก็บกวาดทำความสะอาดแล้วก็ใช้เวลาขายของต่อวันสองเค่อพอดีเมื่อกลับมาถึงบ้านยังมีเวลามากพอที่จะเก็บกวาดทำความสะอาดบ้านและทำงานบ้านอื่นๆ รวมถึงเตรียมวัตถุดิบเอาไว้ใช้ในวันต่อไปจึงไม่มีใครเหนื่อยล้าเท่าไรนัก

แต่ที่เห็นจะสนุกมากกว่าใครเพื่อนก็น่าจะเป็นฝาแฝดเสี่ยวอวี้และเสี่ยวอิงที่ได้พบเจอผู้คนมากขึ้นนอกจะไม่ตื่นตกใจแล้วยังชอบทักทายเขาไปทั่วทำให้เด็กแฝดสามารถพัฒนาการพูดของตนเองไปได้อย่างก้าวกระโดดแม้จะยังมีบางคำที่ออกเสียงไม่ค่อยชัดแต่ก็เรียกว่าพูดเก่งขึ้นมามากแล้ว

“ไปขายของกัง”

“ไปเรวๆ เยยท่างพ่อ”

น้ำเสียงที่สดใสจะเป็นของใครไปไม่ได้นอกจากซุนโยวอิงและซุนโยวอวี้ฝาแฝดที่นั่งประจำที่อยู่บนรถเข็นเนื่องจากพวกเขาทั้งสองคนเริ่มมีน้ำหนักตัวที่มากขึ้นอุ้มนานๆ ไม่ค่อยจะได้แล้วทำเอาทั้งพี่สาว พี่ชายและมารดาต่างก็ปวดแขนไปตามๆ กันจะมีก็แต่ท่านพ่อนี่แหละที่อุ้มพวกเขาเอาไว้ด้วยแขนคนละข้างได้

เมื่อมาถึงที่ร้านค้าข้าวเถียนซานเซินจะพาน้องๆ เข้าไปทักทายผู้อาวุโสก่อนเป็นลำดับแรกจากนั้นก็จะรับชามและปิ่นโตจากท่านปู่มาใส่อาหารวันละสองชุดที่พวกท่านจะหนุนทุกวันไม่ขาดเงินค่าเช่าก็ไม่รับอีกทั้งยังจ่ายเงินค่าอาหารท่านแม่จึงตอบแทนด้วยการตักกับข้าวให้เยอะเป็นพิเศษโดยท่านปู่ท่านย่าเองก็รู้แต่ก็ยอมหลับหูหลับตามองข้ามไป

เพราะน้องแฝดพูดรู้ฟังและพูดสื่อสารได้มากขึ้นเวลานี้พี่รองอย่างเถียนซานซูจึงเลี้ยงน้องคนเดียวได้แล้วพี่ใหญ่ก็จะแยกไปช่วยท่านแม่ขายอาหารส่วนท่านพ่อนั้นก็จะจัดการเรื่องลำดับของลูกค้าและดูแลระเบียบของเก้าอี้รับประทานอาหารและเก็บชามใส่ถังไม้เอากลับไปทำความสะอาดที่บ้านแม้ท่านปู่กับท่านย่าจะเสนอให้ล้างทำความสะอาดและเก็บไว้ที่ร้านจะได้ไม่ต้องยกไปยกมาท่านพ่อก็ยังขอแบกไปกลับด้วยความเกรงใจเพราะถึงอย่างไรก็ใช้รถเข็นอยู่แล้วจึงไม่ได้ออกแรงอะไรมาก

“นี่น่ะเหรอร้านขายข้าวที่ได้ข่าวว่ามีคนขายเป็นสตรีดวงกินสามี” ขายของอยู่ดีๆ ก็มีถ้อยคำหยาบคายให้ระคายหูทำเอากุ้ยอิงฮวาเกือบจะขว้างชามข้าวไปทางต้นเสียงแต่ยังดีที่นางเหลือบตาไปมองดูก่อนจึงเห็นว่าคนที่มาสำรอกสิ่งสกปรกที่หน้าร้านของนางนั้นคือผู้ใด

สตรีที่ยืนเชิดหน้าชูคอในท่ายโสโอหังผู้นี้นั้นคือฮูหยินเอกสกุลเถียนและนางคือผู้ที่ขับไล่กุ้ยอิงฮวาและบุตรสาวบุตรชายของนายท่านเถียนผู้ล่วงลับออกมาจากเรือนหลังพิธีศพอีกทั้งยังเขียนหนังสือตัดขาดทายาททั้งสองคนโดยชอบธรรมของนางท่านเถียนผู้ล่วงลับอย่างหน้าด้านๆ ไม่รู้ว่าจิตใจของนางทำด้วยอะไรกัน

สองพี่น้องเถียนซานเซินและเถียนซานซูที่เห็นชัดเต็มสองตาว่าใครมาที่ร้านก็รีบวิ่งไปเอาตัวกำบังน้องแฝดของตนเองไว้ด้วยฝังใจว่าฮูหยินเถียนผู้นี้ไม่ชอบเด็กไม่ว่าจะเป็นพวกเขาสองคนหรือว่าลูกหลานสาวใช้ในเรือนนางก็เคยทุบตีโดยไม่สนใครหน้าไหน

“แล้วนี่ร้านค้าสกุลเหมียวรู้หรือเปล่าว่ามีตัวกาลกินีมาหากินอยู่หน้าร้านไม่กลัวว่าเสนียดมันจะไปเกาะกินกิจการของตัวเองหรืออย่างไร แต่ก่อนเป็นฮูหยินภรรยาพ่อค้าแต่ตอนนี้ตกต่ำจนต้องหันมาเป็นแม่ค้าแผงลอย” เมื่อเห็นว่ากุ้ยอิงฮวาไม่ตอบโต้ฮูหยินเถียนก็ยิ่งพูดจาเลื่อนเปื้อนไร้สาระข้าไปใหญ่อีกทั้งยังพาคนมายืนเกะกะขวางทางทั้งร้านค้าข้าวและร้านอาหารอีกต่างหาก

“แม่นางหากเจ้าจะมาเล่นงิ้วก็ไปที่โรงงิ้วท้ายตลาดเถิดอย่ามาขวางทางคนเขาจะมาซื้อข้าวปลาอาหารกิน” เป็นท่านลุงท่านหนึ่งที่มาซื้ออาหารของกุ้ยอิงฮวาอยู่เป็นประจำเอ่ยปากเมื่อเขายืนรอให้นางหลบอยู่นานแล้วแต่ก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจคนอื่นนอกจากมายืนพูดจาเลอะเลือนอยู่ตรงนี้

“เจ้าว่าอะไรนะนี่ขนาดข้าพูดว่ากุ้ยอิงฮวาเป็นสตรีดวงกินสามีเจ้ายังจะกล้ากินอาหารที่นางขายอีกอย่างนั้นหรือ” เถียนม่านหนิงเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันใส่ชายแปลกหน้าที่กล้ามาพูดจาไร้สาระกับนางอีกทั้งยังไม่ยอมฟังในสิ่งที่นางเพิ่งพูดไปเลยแม้แต่น้อย

“ข้าไม่ใช่สามีนางแล้วจะต้องกลัวอะไรแต่ดวงนางจะเป็นอย่างไรก็ช่างเถิดแม่นางอิงฮวามีสามีและบุตรที่น่ารักช่วยกันทำมาหากินเช่นนี้แล้วยังจะต้องไปกลัวอะไร แม่นางอิงฮวาลุงขอกับข้าวเหมือนเดิมนะใส่มาในปิ่นโตนี่ได้เลย” นอกจากจะไม่สนใจสิ่งไร้สาระแล้วท่านลุงยังส่งปิ่นโตสามชั้นที่ภรรยาให้มาซื้อกับข้าวกลับบ้านให้กุ้ยอิงฮวาหน้าตาเฉยท่านกลางท่าทางกลั้นยิ้มของชาวบ้านที่อยู่ในละแวกนั้น

“เอาเถอะกินเสนียดจัญไรเข้าไประวังจะมีภัยมาถึงตัวไม่แน่วันหนึ่งนางอาจจะไปคว้าพวกท่านเป็นสามีก็ได้ขนาดสามีคนล่าสุดยังเคยเป็นคนสนิทของสามีเก่าที่ตายไปเลยนี่นาใครอยู่ใกล้มือไม่ได้คว้ามากินไม่เลือก อ้อ ไอ้การทำตัวเป็นแม่พระรับเลี้ยงมารหัวขนพวกนี้มันไม่ช่วยให้ความกาลกินีที่มีติดตัวเจ้ามันหายไปหรอกนะ เจ้าก็ด้วยเคยเป็นขี้ข้าเลี้ยงดูพวกมันมาแท้ๆ แต่วันนี้เสนอหน้าจะมาเป็นพ่อช่างน่าขันยิ่งนัก”

“ฮูหยินกล่าวเกินไปแล้วนะขอรับ” เป็นซุนคุนเล่อที่ทนไม่ไหวพุ่งตัวมายืนเคียงข้างเพื่อปกป้องภรรยาแต่ก็เป็นนางที่จับมือเขาเอาไว้เพื่อปลอบประโลมให้ใจเย็นลงคนเช่นนี้ถ้าแรงกลับไปหรือตอบโต้ด้วยกำลังรังจะมีแต่เรื่องแต่ราวไม่จบไม่สิ้นเป็นแน่

“ไม่เป็นไรเจ้าค่ะท่านพี่ให้ข้าเป็นคนจัดการเอง จะพูดอะไรก็พูดไปเจ้าค่ะหากจะบอกว่าข้าดวงกินสามีก็เป็นฮูหยินมิใช่หรือที่มีสามีคนเดียวกันกับข้าถ้าจะโทษว่ากุ้ยอิงฮวาเป็นตัวซวยทำสามีตายข้อกล่าวหานี้เราควรจะมาแบ่งกันคนละครึ่งเพราะข้าเองก็ไม่ใช่ภรรยาเพียงคนเดียวท่านพี่เถียนเหว่ย

และการที่ข้าต้องยึดเอาซุนคุนเล่อผู้นี้เอาไว้เป็นที่พึ่งก็ไม่ใช่เพราะท่านหรอกหรือที่ขับไล่พวกเราสามคนแม่ลูกออกมาจากเรือนสกุลเถียนโดยมิให้เรานำอะไรออกมานอกจากตัวและเสื้อผ้าทันทีที่เสร็จพิธีศพเด็กๆ ยังไม่ทันได้ไว้ทุกข์ให้บิดาด้วยซ้ำไป”

กุ้ยอิงฮวายืนนิ่งๆ แต่พูดจาเชือดเฉือนบาดลึกทุกถ้อยคำทำเอาคนที่ไม่คิดว่าจะได้รับการโต้ตอบถึงกับหน้าเสียแต่ก็ยังคงต้องพยายามเก็บอาการของตนเองเอาไว้

“แต่สามีคนแรกของเจ้าก็ตายมิใช่หรือ เจ้าทำเขาตายในวันเข้าหอชาวบ้านที่บ้านเกิดเจ้าเขาก็รู้กันทั่ว” เมื่อเล่นงานเรื่องการตายของสามีไม่ได้เถียนม่านหนิงจึงย้อนไปพูดถึงเรื่องราวที่เก่ากว่านั้น

“ผู้เฒ่าเหออายุเกือบเจ็ดสิบปีทำงานหนักมาตั้งแต่อายุน้อยๆ อีกทั้งยังมีโรคประจำตัวเขาจะตายไปก็ไม่แปลกนี่เจ้าคะว่าแต่ฮูหยินเถียนเหตุใดท่านจึงสันทัดเรื่องในม่านมุ้งของผู้อื่นเช่นนี้กันเล่าหรือว่ากิจการของสามีที่อยู่ในมือมันไม่มีงานให้ต้องสะสางจัดการถึงได้ว่างลงทุนเดินทางข้ามอำเภอมาหาเรื่องข้าเช่นนี้” จะว่าไปแล้วแม้อำเภอที่ตั้งเรือนสกุลเถียนกับบ้านเกิดของสามีจะอยู่ติดกันแต่ก็ใช้เวลาเดินทางเกือบชั่วยามกว่าเดินทางมาถึงนางก็ยอมเหนื่อยนั่งโยกเยกมาในรถม้าแล้วก็มาต่อว่าด่าทอนางโดยเฉพาะอย่างนั้นหรือ

“สตรีไม่มีความรู้เก่งแต่ยั่วยวนบุรุษเช่นเจ้ามันจะไปรู้อะไรเรื่องการค้ากันเล่าคนชั้นต่ำอย่างไรแล้วมันก็เป็นแค่คนชั้นต่ำสุดท้ายก็กลับไปเกลือกกลั้วกับสิ่งของสกปรกอยู่เหมือนเดิม”

เหมือนเถียนม่านหนิงจะถูกจี้ใจดำเพราะการค้าของสามีที่นางรับช่วงต่อมาดูแลทุกวันนี้มีแต่ขาดทุนไม่เคยสักครั้งที่จะสามารถทำกำไรได้นางจึงยิ่งโมโหและยิ่งด่าทอกุ้ยอิงฮวาด้วยการดูถูกเหยียดหยามหนักกว่าเดิมด้วยถือว่าตนเองนั้นเป็นบุตรสาวของพ่อค้าที่ผ่านมาใช้ชีวิตเป็นคุณหนูในห้องหอมิได้เป็นลูกสาวชาวบ้านที่หาเช้ากินค่ำเช่นที่กุ้ยอิงฮวาเป็น

“หากฮูหยินสูงส่งนักก็จงไปให้พ้นจากหน้าร้านค้าของข้าดีกว่าแม้หลานสาวและหลานชายของข้าจะมีฐานะต่ำต้อยแต่พวกเขาก็ทำมาหากินอย่างสุจริตอีกทั้งยังเป็นบิดามารดาที่เอาใจใส่บุตรสาวและบุตรชายของตนเองเป็นอย่างดี มันก็น่าแปลกใจที่ฮูหยินยังมาเสียเวลาด่าทอต่อว่าคนที่ท่านกล่าวหาว่าต่ำต้อยทั้งๆ ที่มีทางเลือกอื่นจะไม่มาข้องแวะข้องเกี่ยวกันมันจะไม่ง่ายกว่าหรือ” เป็นท่านปู่เหมียวของเด็กๆ ที่นั่งฟังฮูหยินผู้นี้ถ้อยคำผรุสวาทต่อไปไม่ไหวจึงต้องออกมาปกป้องคนที่ตัวเองเอ็นดูรักใคร่ไม่ต่างจากลูกหลานและช่วยกู้ชื่อเสียงของสตรีที่มีความขยันขันแข็งเช่นกุ้ยอิงฮวาอีกด้วย

เมื่อถูกขับไล่ทั้งจากลูกค้าที่มาซื้ออาหารและเจ้าของร้านค้าข้าวขนาดใหญ่ฮูหยินเถียนจึงไม่สามารถยืนให้ผู้คนขับไล่และหัวเราะเยาะเย้ยนางด้วยสายตาอีกต่อไปได้จึงได้แต่เดินกระทืบเท้าออกไปจากบริเวณนั้นแต่ใช่ว่านางจะยอมแพ้ง่ายๆ อุตส่าห์ลงทุนเดินท่างมาถึงที่นี่แล้วอย่างไรเสียก็จะต้องได้ประณามหยามเหยียดกุ้ยอิงฮวาให้มันต้องได้อับอายผู้คนหรือว่าหมดหนทางทำมาหากินไปเลยยิ่งดี เป็นแค่บุตรสาวของชาวบ้านธรรมดาๆ อย่าคิดจะมาหาทางเทียบกับบุตรสาวพ่อค้าอย่างนางเสียให้ยากอย่างไรแล้วมันก็ไม่มีทางที่จะเทียบได้

“เอาล่ะเรื่องวุ่นวายผ่านไปแล้วมาทำงานค้าขายกันตามปกติเถิดนะ” ผู้อาวุโสเหมียวทั้งสองออกมาดูแลทั้งกุ้ยอิงฮวาและเด็กๆ ด้วยความเป็นห่วงเมื่อเห็นว่าทุกๆ คนยังยิ้มออกมาได้และไม่ได้มีอาการตื่นตกใจมากนักจึงขอตัวกลับเขาไปในร้านพร้อมกับขออุ้มเจ้าแฝดเข้าไปด้วยเพราะเข้าใจว่าพ่อแม่และพี่ๆ ของเจ้าแฝดน่าจะต้องมีเรื่องพูดคุยกันเพราะเด็กสองคนก็โตพอจะรู้ความทุกอย่างแล้ว

“เซินเอ๋อร์ เสี่ยวซูอย่าใส่ใจคำพูดของสตรีผู้นั้นเลยนะพ่อกับแม่ไม่เคยคิดว่าการดูแลพวกเจ้ามันเป็นเรื่องที่ยากลำบากเลยแม้แต่น้อย”

“ไม่เป็นไรอย่าไปฟังคำของสตรีผู้นั้นแม่กับพ่อรักพวกเจ้าที่สุด ท่านแม่กับท่านพ่อผู้ล่วงลับของเจ้าก็เช่นเดียวกันทั้งเซินเอ๋อร์และเสี่ยวซูเป็นแก้วตาดวงใจของท่านพ่อและท่านแม่นะลูกนะ”

สิ่งที่กุ้ยอิงฮวาและซุนคุนเล่อเป็นห่วงอย่างที่สุดก็คือความรู้สึกของลูกๆ ที่รู้ความแล้วเพราะตลอดมาฮูหยินเอกจะหาเรื่องด่าทอต่อว่าเด็กๆ อยู่เสมอเมื่อมีโอกาสซึ่งเหตุผลที่แท้จริงแล้วมารดาผู้เลี้ยงดูเด็กสองคนมานานคาดเดาว่ามันไม่ได้เป็นเพราะเถียนม่านหนิงเกลียดเด็กแต่มันเป็นเพราะนางอิจฉาที่ตัวเองไม่สามารถมีลูกได้ต่างหาก

“ลูกไม่เป็นไรเจ้าค่ะแต่ลูกโกรธที่นางมาด่าว่าท่านพ่อกับท่านแม่” พี่คนโตอย่างเซินเอ๋อร์พยายามเข้มแข็งให้น้องเห็นนางกลั้นน้ำตาเอาไว้จนใบหน้าเล็กๆ ของตนเองนั้นแดงก่ำไปหมดแล้ว

“ลูกเกลียดนางได้ไหมท่านแม่พวกเราเคยไปทำอะไรไม่ดีเหรอนางจึงตามมาด่าทอกันถึงที่นี่” คำถามของบุตรชายที่มาพร้อมกับน้ำตาทำให้มารดาอย่างกุ้ยอิงฮวาเจ็บปวดไปทั้งดวงใจ

“หากใจเจ้ามีแต่ความเกลียดชังมันก็จะเป็นทุกข์ทั้งเซินเอ๋อร์และเสี่ยวซูต้องใช้ชีวิตของตนเองให้ดี เป็นคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตให้นางอิจฉามันจึงจะเป็นการแก้แค้นที่ดีกว่าการเกลียดชัง” เป็นซุนคุนเล่อที่สั่งสอนทั้งบุตรชายและบุตรสาวของตนเอง